Home arrow News arrow ระวัง! โรคพิษสุนัขบ้า
ระวัง! โรคพิษสุนัขบ้า Print E-mail
User Rating: / 0
PoorBest 
Post by Administrator   
ศุกร์, 26 กุมภาพันธ์ 2010
Image

 

บทความโดย :รศ.นพ.วินัย รัตนสุวรรณ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
       ข่าวฮือฮา! โรคพิษสุนัขบ้าที่คร่าชีวิตข้าราชการหญิงกระทรวงสาธารณสุข เจ้าของร้านขายสุนัขแถวจตุจักรด้วยความประมาทในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เพราะเชื่อมั่นฉีดวัคซีนกันบ้าให้สุนัขเองกับมือ ได้สร้างความหวาดผวาให้กับผู้รักสุนัขทั้งหลาย วันนี้เรามีความรู้มาฝากครับ

โรคพิษสุนัขบ้า เกิดจากไวรัสเรบีส์ (Rabies virus) เป็นโรคที่อยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น สุนัข แมว วัว ควาย สุกร ลิง ค่าง ชะนี รวมทั้งค้างคาวด้วย เป็นโรคที่ติดต่อจากสัตว์มาสู่คนได้ หากผู้นั้นได้รับเชื้อเข้าไป เชื้อไวรัสจะออกมากับน้ำลายสัตว์ที่ป่วยหรือมีเชื้อนี้ก่อนป่วย คนมักได้รับเชื้อเนื่องจากถูกสัตว์ที่มีเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้ากัด เชื้อในน้ำลายสัตว์จะเข้าสู่บาดแผล นอกจากสัตว์กัดแล้ว คนยังอาจได้รับเชื้อจากสัตว์ที่มีเชื้อนี้มาข่วน ซึ่งบนเล็บของสัตว์เหล่านี้ มักเปื้อนน้ำลายสัตว์ที่อาจเลียเล็บตัวเอง หรือแม้แต่สัตว์ที่มาเลียคน คนนั้นก็อาจติดโรคนี้ได้หากผิวหนังบริเวณที่ถูกเลียมีบาดแผลหรือรอยถลอก และแม้ไม่มีแผลแต่หากสัตว์มาเลียบริเวณปาก หรือ จมูก หรือ ตา คนนั้นก็อาจได้รับเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ ระยะฟักตัว โดยเฉลี่ย 2-8 สัปดาห์ อาจจะสั้นหรือยาวกว่านี้ได้ เคยมีรายงานระยะฟักตัวเป็นปี ทั้งนี้ขึ้นกับตำแหน่งที่เป็นทางเข้าของเชื้อ เช่น ถ้าถูกสัตว์กัดบริเวณใบหน้า ระยะฟักตัวจะสั้น เนื่องจากอยู่ใกล้สมอง หรือบริเวณที่มีปลายประสาทมากๆ เช่น มือ เป็นต้น
       อาการของโรค หลังจากผ่านระยะฟักตัวจนเชื้อเดินทางถึงสมอง ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว คันหรือปวดบริเวณที่ถูกกัด ทั้งๆ ที่แผลนั้นอาจหายเป็นปกติแล้ว อาการของโรคพิษสุนัขบ้า แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบคลุ้มคลั่ง โดยเฉลี่ยจะเสียชีวิตภายใน 5 วัน ผู้ป่วยจะกระวนกระวาย ตื่นเต้นต่อสิ่งเร้าได้ง่าย อาการจะรุนแรงขึ้นจนอาละวาด กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง ขณะพยายามกลืนอาหารหรือน้ำ ทำให้เกิดอาการเหมือน “กลัวน้ำ” ต่อมาจะเพ้อคลั่ง ชัก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด
       2.แบบอัมพาต ผู้ป่วยบางราย ไวรัสทำลายสมองส่วนที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้แขนขาอ่อนแรงเป็นอัมพาต
      
       ปัจจุบันยังไม่มียารักษา หากปล่อยจนไวรัสเดินทางถึงสมองและแสดงอาการออกมา ผู้ป่วยจะเสียชีวิตทุกราย แต่เนื่องจากเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าใช้เวลาเดินทางจากบริเวณบาดแผลไปยังสมองหลายวัน อาจเป็นเดือน ดังนั้น จึงมีเวลาเพียงพอที่จะใช้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าฉีดให้กับผู้ป่วยที่ถูกสุนัขกัดและมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ให้มีภูมิต้านทานเกิดขึ้นก่อนเชื้อจะเดินทางไปถึงสมองและก่ออาการ ดังนั้นโรคพิษสุนัขบ้า แม้ถูกสุนัขกัดแล้ว ถึงแม้ยังไม่มียารักษา แต่มีวัคซีนป้องกันที่ได้ผลดี หากได้รับวัคซีนถูกต้องทันเวลาก็สามารถรอดชีวิตได้
      
       การฉีดวัคซีน จะต้องฉีดให้ครบชุด มี 5 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 1 ในวันแรก / ฉีดเข็ม 2 ในวันที่ 3 หลังฉีดเข็มที่ 1 /ฉีดเข็ม 3 ในวันที่ 7 หลังฉีดเข็มที่ 1/ฉีดเข็ม 4 ในวันที่ 14 หลังฉีดเข็มที่ 1 และเข็ม 5 ในวันที่ 30 หลังฉีดเข็มที่ 1
      
      
       โดยหลักการให้วัคซีน หากถูกสัตว์ที่ไม่ทราบประวัติกัดให้เริ่มฉีดวัคซีนทันที และหากถูกสัตว์ที่เคยฉีดวัคซีนประจำกัด และสัตว์มีอาการป่วย ให้เริ่มฉีดวัคซีนทันที และหากสัตว์เสียชีวิต ให้นำสัตว์ไปตรวจเชื้อพิษสุนัขบ้า อย่าเพิกเฉย หากไม่สามารถนำซากสัตว์ไปตรวจได้ ให้ฉีดวัคซีนจนครบชุด 5 เข็ม แต่หาก หากถูกสัตว์ที่เคยฉีดวัคซีนประจำกัด โดยมีสาเหตุ เช่น ไปแหย่ ไปเหยียบ หรือแย่งของ แต่สัตว์ยังปกติ ให้สังเกตสุนัขหรือสัตว์นั้นต่อไป 10 วัน หากสัตว์สบายดี ก็ไม่ต้องฉีดวัคซีน
       ทำได้ตามนี้ แม้ถูกกัด ก็ปลอดภัยครับ

ที่มา  ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 กุมภาพันธ์ 2553

Last Updated ( ศุกร์, 26 กุมภาพันธ์ 2010 )
< Previous   Next >